เริ่มต้นที่ “กรุงไทย” คาดจีดีพีไทยปีนี้โต 2.7% แนะภาคธุรกิจเตรียมรับมือเศรษฐกิจโลกรีเซ็ตครั้งใหม่
ทำความรู้จักกับหุ้น IPO น้องใหม่ บุญถาวร และ นีโอ จ่อเข้าตลาดหลักทรัพย์
กรมสรรพากรแจงแล้ว! ระบบภาษีคลาดเคลื่อน แก้ไขแล้ว กลับมายื่นได้ตามปกติ
โดย ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ประเมินเศรษฐกิจไทยในปี 2567 เติบโต 2.7% จากการส่งออกขยายตัวจำกัด รายได้ท่องเที่ยวยังต่ำกว่าช่วงก่อนโควิด-19 และปัญหาหนี้อยู่ในระดับสูง และยังมองว่าเศรษฐกิจโลกเสี่ยงที่จะรีเซ็ตครั้งใหญ่ จากความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์
ภาวะการเงินตึงตัวทั่วโลก และความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และจีนในระยะข้างหน้า แนะผู้ประกอบการกระจายตลาดลดความเสี่ยง ธุรกิจรายใหญ่และเอสเอ็มอีร่วมมือเพิ่มขีดแข่งขันภูมิภาค
โดย ดร.พชรพจน์ นันทรามาศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ และ Chief Economist ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ในปี 2567 เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย ต้องตั้งรับกับสถานการณ์โลกที่มีการรีเซ็ตสำคัญ 3 อย่าง คือ
1. การรีเซ็ตเทรนด์โลกใหม่ ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์และกระแสโลกที่เปลี่ยนไป จะนำโลกไปสู่การเมืองแบบหลายขั้วท่ามกลางความขัดแย้ง ขณะที่กระแสรักษ์โลกคืบหน้ามากขึ้น และเทรนด์นวัตกรรม AI เปลี่ยนโลก
2. การรีเซ็ตเศรษฐกิจโลกภายใต้ภาวะการเงินตึงตัว อัตราดอกเบี้ยในระดับสูงยาวนานจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจชัดเจนมากขึ้นในปีนี้ สร้างความยากลำบากในการระดมทุนและจ่ายคืนหนี้ เพิ่มความเสี่ยงต่อการผิดนัดชำระหนี้
3. การรีเซ็ตเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจโลก โดยเครื่องยนต์หลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกทั้งสหรัฐฯ และจีนอาจดับลงพร้อมกัน ความเสี่ยงหลักจากความไม่แน่นอนของนโยบายเศรษฐกิจสหรัฐฯ หากทรัมป์กลับมาเป็นประธานาธิบดีรอบใหม่ ขณะที่สงครามการค้าซึ่งมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น จะเป็นภัยคุกคามเศรษฐกิจจีนให้อ่อนแอลงไปอีก
ไทยพาณิชย์ เศรษฐกิจโลกในปี 2567 มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง
ด้านธนาคารไทยพาณิชย์ มองว่า เศรษฐกิจโลกในปี 2567 มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง แม้จะได้รับผลกระทบจากนโยบายการเงินที่ตึงตัว เนื่องจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจโลกช่วงต้นปีขยายตัวได้ดี แต่ภาคบริการขยายตัวดีขึ้น แม้ว่าภาคการผลิตเริ่มทรงตัวหลังจากหดตัวนานปีกว่า
สิ่งที่ต้องจับตาคือ การเลือกตั้งใหญ่ในกว่า 60 ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจรวมสูงกว่า 60% ของโลก ซึ่งอาจมีนัยต่อความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์โลก นอกจากนี้ การค้าและห่วงโซ่อุปทานโลกเผชิญความเสี่ยงจากการโจมตีเรือขนส่งสินค้าในบริเวณทะเลแดงและปัญหาน้ำแล้งในคลองปานามา
ขณะที่ ธนาคารกลางกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลักจะเริ่มปรับทิศการดำเนินนโยบายการเงินในช่วงไตรมาส 2 โดยประเมินว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ธนาคารกลางยุโรป และธนาคารกลางอังกฤษจะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในไตรมาส 2 ตามทิศทางเงินเฟ้อที่เริ่มชะลอลง
ด้านธนาคารกลางญี่ปุ่นมีแนวโน้มยุตินโยบายอัตราดอกเบี้ยติดลบ (Negative interest rate) ในไตรมาส 3 (หรืออย่างเร็วไตรมาส 2) ขณะที่จีนยังมีแนวโน้มผ่อนคลายนโยบายการเงินต่อเนื่องผ่านการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายและอัตราส่วนการสำรองของธนาคารพาณิชย์ขั้นต่ำ (RRR)
ส่วนเศรษฐกิจไทยในช่วงต้นปียังมีแรงส่งจากการบริโภคภาคเอกชนที่มีแนวโน้มขยายตัวดี ตามการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวที่เร่งตัวจากนักท่องเที่ยวจีนเป็นหลัก
ยูโอบี ประเมินจีดีพีไทยปี 67 ขยายตัวได้ 3.6% จากภาคส่งออก และท่องเที่ยวฟื้นตัว ดันเงินบาทแข็งแกร่ง ขณะที่แรงกดดันเงินเฟ้อแผ่วลง คำพูดจาก สล็อตวอเลท
ด้าน ธนาคารยูโอบี ประเทศ ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวช้าในช่วงครึ่งปีแรก ก่อนที่จะขยายตัวได้แข็งแกร่งขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ด้วยปัจจัยสนับสนุนจากมาตราการกระตุ้นทางการคลังของรัฐบาล ควบคู่ไปกับการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวและส่งออก ธนาคารประเมินว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือ จีดีพี (GDP) ของประเทศไทยมีแนวโน้มเติบโตได้ร้อยละ 3.6 ในปีนี้
นายเอ็นริโก้ ทานูวิดจายา นักเศรษฐศาสตร์ Global Economics and Market Research ธนาคารยูโอบี กล่าวว่า “ปัจจัยหลักที่ช่วยส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจไทยคือ ภาคส่งออกสินค้าและภาคท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มปรับดีขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อการจ้างงานและสร้างรายได้ให้แก่แรงงาน ควบคู่ไปกับการบริโภคภาคครัวเรือนและได้รับอานิสงส์เพิ่มเติมจากมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายของภาครัฐ
นอกจากนี้ ประเทศไทยจะได้รับอานิสงส์เพิ่มเติมจากเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (FDI) ที่เพิ่มขึ้นจากบริษัทต่างชาติที่เดินหน้าย้ายฐานการผลิตเข้ามาในประเทศเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากผลกระทบจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์
เพราะฉะนั้นแล้ว การท่องเที่ยวและส่งออกเป็นปัจจัยหลักหนุนการเติบโต ขณะที่แรงกดดันเงินเฟ้อแผ่วลง ส่วนเงินบาทจะเป็นหนึ่งในสกุลเงินที่มีแนวโน้มแข็งค่าในปี 2567 เมื่อเปรียบเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาค